การตัดแต่งกิ่ง

on กันยายน 28, 2553


การเตรียมความพร้อมต้นและการตัดแต่งกิ่ง นับเป็นเรื่องสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับ ต้นลำไย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแตกใบและกิ่งที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการออกดอก และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สำหรับการตัดแต่งกิ่งลำไยนั้นควรตัดแต่งให้เร็วที่สุดภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยตัดกิ่งหลักที่อยู่ กลางพุ่มออก 2 – 3 กิ่ง เพื่อให้ต้นลำไย ได้รับแสงมากขึ้น และยังเป็น



การช่วยชะลอความสูงของต้น จากนั้นตัดกิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ำค้าง กิ่งที่ไม่ได้รับแสง กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ และตัดกิ่งที่ถูกโรคหรือแมลงทำลายทิ้ง ควรให้เหลือกิ่งอยู่ประมาณ 60% ของทรงพุ่ม
ประโยชน์ของการตัดแต่งกิ่ง มีดังนี้ คือ
1. เร่งให้ลำไยแตกใบอ่อน ซึ่งมีผลทำให้ต้นลำไยฟื้นตัวได้เร็ว ใบใหม่ที่เกิดขึ้นจะทำหน้าที่ สร้างอาหารสะสมไว้สำหรับการออกดอกติดผลในฤดูกาลถัดไป

2. ช่วยควบคุมความสูงของทรงพุ่ม การที่ทรงพุ่มเตี้ยทำให้ง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต สะดวก ต่อการดูแลรักษา และช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องไม้ค้ำยันกิ่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
3. ลดการระบาดของโรคและแมลง เช่น โรคราดำ โรคจุดสาหร่ายสนิม และไลเคนส์ เป็นต้น
4. การตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่งทำให้แสงส่องเข้าไปในทรงพุ่มได้ จะช่วยให้ต้นลำไยตอบสนอง ต่อสารโพแทสเซียมคลอเรตได้ดี ทำให้ลำไยออกดอกมากขึ้น แม้ว่าปริมาณการใช้สารลดลง
5. ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ได้ผลขนาดใหญ่ขึ้น และคุณภาพผลผลิตโดยรวมดีขึ้นด้วย

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการตัดแต่งกิ่งลำไย ซึ่งเกษตรกรสามารถทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะการตัดแต่งกิ่ง “ทรงฝาชีหงาย” วิธีนี้มีข้อดีหลายอย่าง อาทิ ต้นลำไยจะมีทรงเตี้ย สามารถควบคุมความสูงของทรงพุ่มใหญ่ให้อยู่ในระดับเดิมได้ทุกปี ทั้งยังช่วยกระตุ้นการแตกใบให้เร็วขึ้น ผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพดี โดยเฉพาะผลลำไยที่เกิดจากกิ่ง
กระโดงในทรงพุ่มจะมีผิวสีเหลืองทอง เป็นที่ต้องการของตลาด และสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ 20 – 50% ด้วย
การตัดแต่งทรงฝาชีหงายทำได้โดยตัดกิ่งที่อยู่กลางทรงพุ่มออกให้หมด ให้เหลือเฉพาะกิ่งที่เจริญในแนวนอน จากนั้นจะเกิดกิ่งใหม่ขึ้นตามกิ่งหลักที่เจริญในแนวนอน เรียกกิ่งที่เกิดขึ้นว่า กิ่งกระโดง ซึ่งจะออกดอกได้ภายใน 4 – 6 เดือนหลังตัดแต่ง และช่อผลลำไยที่เกิดจากกิ่งกระโดงเมื่อผลใกล้แก่จะโน้มลง หลบเข้าในทรงพุ่ม ทำให้ผลลำไยมีขนาดใหญ่และมีสีเหลืองทอง
นอกจากทรงฝาชีหงายแล้ว ยังสามารถตัดแต่งกิ่งทรง “เปิดกลางพุ่ม” โดยตัดแต่งกิ่งที่อยู่ กลางทรงพุ่มออก 2 – 5 กิ่ง เพื่อลดความสูงของต้น และให้แสงแดดส่องเข้าในทรงพุ่ม แล้วตัดแต่งกิ่งที่อยู่ด้านในทรงพุ่มที่ไม่ได้รับแสง ควรตัดกิ่งที่มีขนาดใหญ่ทางด้านข้างของทรงพุ่มออกบ้าง เพื่อให้แสงส่อง เข้าไปในทรงพุ่ม ขณะเดียวกันต้องตัดกิ่งที่ถูกโรคแมลงทำลาย ตัดกิ่งที่ไขว้กัน กิ่งซ้อนทับ และกิ่งที่ชี้ลง ออกด้วย
สำหรับสวนที่มีต้นลำไยอายุน้อยและปลูกระยะชิด เกษตรกรอาจตัดแต่งกิ่ง “ทรงสี่เหลี่ยม” โดยกำหนดความสูงของทรงพุ่มอยู่ในช่วง 2 – 3 เมตร โดยนำไม้ไผ่ทำเครื่องหมายตามความสูงที่ต้องการ แล้วนำไปทาบที่ต้นลำไย กิ่งที่สูงเกินเครื่องหมายก็ตัดออกให้หมด จากนั้นตัดปลายกิ่งด้านข้างทรงพุ่มทั้งสี่ด้าน ขึ้นอยู่กับระยะปลูก และทรงพุ่มเดิม โดยทั่วไปแนะนำให้ตัดลึกจากปลายกิ่งประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร รูปทรงที่ได้จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายหลังการตัดแต่งกิ่งประมาณ 2 สัปดาห์
ต้นลำไยจะเริ่มแตกใบ ถ้าต้องการให้ต้นลำไยสมบูรณ์เต็มที่ควรให้มีการแตกใบ 3 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน นับตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งก็สามารถชักนำการออกดอกได้ หลังตัดแต่งกิ่งต้องเร่งบำรุงต้น โดยให้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก) อัตรา 10-20 กิโลกรัม ต่อต้น ควบคู่กับปุ๋ยเคมี ซึ่งในระยะนี้ต้นลำไยต้องการธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม คิดเป็นสัดส่วน 4:1:3 สูตรปุ๋ยเคมีที่แนะนำให้ใช้ควรเน้นธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียม เช่น สูตร 46-0-0,15-15-15 และ 0-0-60 ส่วนอัตราการใช้ขึ้นอยู่กับขนาดทรงพุ่ม อย่างไรก็ตาม ปีนี้หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว เกษตรกรควรวางแผนการผลิต รีบเตรียมความพร้อมต้น เร่งตัดแต่งกิ่งเพื่อผลิตลำไยนอกฤดูคุณภาพป้อนตลาด พื่อโอกาสที่ดีที่รออยู่ข้างหน้าต่อไป





ดูหัวข้อที่เกี่ยวข้อง:

  • ประวัติลำใย




  • การปลูกลำไย




  • ประโยชน์ของลำไย




  • โรคและการป้องกัน

  • การราดสาร




    การชักนำการออกดอก

    หลังจากเตรียมต้นลำไยให้สมบูรณ์พร้อมที่จะผลิตลำไยทั้งในและนอกฤดู ขั้นตอนต่อไปคือ การชักนำให้ลำไยออกดอก เป็นที่ทราบกันดีว่าสารโพแทสเซียมคลอเรตมีคุณสมบัติชักนำให้ลำไยออกดอกได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอากาศหนาวเย็น จึงทำให้เกิดการผลิตลำไยนอกฤดูขึ้น เกษตรกรที่ให้สาร คลอเรตในปีแรก พบว่าประสบผลสำเร็จสามารถชักนำให้ลำไยออกดอกได้แทบทุกต้นแต่ในปีต่อๆ มากลับพบปัญหาคือการให้สารซ้ำในที่เดิมต้นลำไยออกดอกน้อยลงหรือไม่ออกดอก ทำให้เกษตกรเกิดความคิดว่าจะต้องเพิ่มปริมาณสารทุกปีแต่การปฏิบัติเช่นนี้ก็ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาลงได้ เกษตรกรบางรายให้สารนี้ในอัตราที่สูงกลับออกดอกน้อยกว่าสวนลำไยที่ให้อัตรา ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าการตอบสนองต่อสารโพแทสเซียมคลอเรตไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราการ ใช้เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ ซึ่งเกษตรกรควรศึกษาและให้ความสำคัญเพราะจะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ

    การตอบสนองของลำไยต่อสารโพแทสเซียมคลอเรต
    ต้นลำไยที่ได้รับสารโพแทสเซียมคลอเรตจะออกดอกได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
    1. อายุของใบ การให้สารโพแทสเซียมคลอเรตกับต้นลำไยในระยะใบอ่อนมักพบว่าเปอร์เซ็นต์การออก ดอกต่ำและแทงช่อดอกช้า เนื่องจากใบอ่อนอาจมีสารยับยั้งการออกดอก จากการทดลองสรุปได้ว่าระยะใบที่เหมาะสมต่อการให้สารควรมีอายุใบอย่างน้อย 3 สัปดาห์



    2. ฤดูกาลให้สาร การให้สารในช่วงฤดูร้อน (มี.ค. – พ.ค.) และฤดูหนาว (ต.ค.- ม.ค.) พบว่าลำไยจะออกดอกได้ดี แต่ถ้าให้สารในช่วงฤดูฝน (มิ.ย. – ก.ย.) กลับพบว่าลำไยออกดอกได้น้อยหรือบางต้นไม่ออกดอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นลำไยที่ มีอายุมาก จากข้อมูลดังกล่าวมีข้อแนะนำ คือ ควรกำหนดปริมาณสารให้เหมาะสมกับฤดูกาล เช่นช่วงฤดูหนาวควรให้สารในอัตราต่ำ ช่วงฤดูร้อนอัตราปานกลางและฤดูฝนให้อัตราสูง นอกจากนี้ไม่ควรให้สารกับต้นลำไยที่มีอายุมากในฤดูฝนเพราะจะตอบสนองไม่ดี เท่ากับลำไยที่มีอายุน้อย สำหรับอัตราการใช้สารแสดงในตารางที่ 3.1

    ตารางที่ 3.1 ข้อแนะนำการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรตกับต้นลำไยที่มีขนาดทรงพุ่มต่าง ๆ

    เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 3 เมตร อัตราการใช้ 50 – 150 กรัม
    4 " " 100 –250 "
    5 " " 150 –400 "
    6 " " 250 –500 "
    7 " "300 –750 "
    8 " "400–1,000"
    9" "500–1,250
    10" "600- 1,500


    * อัตราที่แนะนำประยุกต์จากงานทดลองที่ใช้ในอัตรา 8 – 20 กรัมต่อตารางเมตรของพื้นที่ทรงพุ่ม

    3. แสง ต้นลำไยที่ให้สารโพแทสเซียมคลอเรตในสภาพที่มีแสงจะออกดอกได้ดีกว่าในสภาพ ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ข้อแนะนำที่จะนำไปประยุกต์ใช้ คือ ตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มลำไยโปร่งให้แสงกระจายทั่วทรงพุ่มและยังเป็นการลด จำนวนกิ่งต่อต้นลงทำให้ลำไยออกดอกได้ดี นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการให้สารคลอเรตในช่วงครึ้มฟ้าครึ้มฝนหรือช่วงที่ฝน ตกชุก
    4. พันธุ์ ลำไยพันธุ์สีชมพูจะตอบสนองต่อสารโพแทสเซียมคลอเรตได้ดีกว่าพันธุ์อีดอ ดังนั้นจึงควรลดปริมาณสารลงครึ่งหนึ่งของอัตราที่ใช้ได้ผลกับพันธุ์อีดอ
    5. เทคนิคและวิธีการให้สาร ถึงแม้การให้สารโพแทสเซียมคลอเรตสามารถให้ได้หลายวิธี เช่น ทางดิน ทางใบ และฉีดเข้าลำต้น แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ทางดิน
    ที่มา:http://icomm.eng.cmu.ac.th
    ดูหัวข้อที่เกี่ยวข้อง :
  • ประวัติลำใย

  • พันธุ์ลำไย

  • การปลูกลำไย

  • โรคและการป้องกัน

    ประโยชน์ของลำไย



    ประโยชน์ของลำไย

    เปลือก ของต้นมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาและมีรสฝาดใช้ต้มเป็นยาหม้อแก้ท้องร่วง ลำต้นมีขนาดใหญ่ สูงประมาณ ๓๐-๔๐ ฟุต เนื้อไม้มีสีแดงและแข็งสามารถใช้ทำเครื่องใช้ประดับบ้านได้

    ผลลำไยมี เปลือกสีน้ำตาลอมเขียวภายในมีเนื้อขาวอมชมพูขาวอมเลืองแล้วแต่สายพันธุ์ เนื้อลำไย สามารถ บริโภคสด บรรจุกระป๋อง ตากแห้งสามารถทำเป็นชาชงใช้ดื่ม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยให้หลับสบายเจริญอาหาร
    ลำไยถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างมหัศจรรย์ ไม่เพียงแต่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น ลำไยยังมีคุณค่าทางการแพทย์และเภสัชอีกด้วย

    ในทางการแพทย์แผนโบราณ ของจีนนั้นได้นำลำไยโดยเฉพาะลำไยแห้งซึ่งมีสรรพคุณใช้บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาทตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการเครียด กระวนกระวาย นอนไม่หลับ เป็นต้น มาเป็นส่วนผสมในตัวยาด้วย

    สำหรับในประเทศไทยจาก ผลการวิจัยลำไยแห้งของทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันสรรพคุณประโยชน์ของลำไยในทางการแพทย์และ เภสัชวิทยา ทั้งยังเตรียมสารสกัดมาตรฐานจากลำไยแห้งที่มีสรรพคุณทางการแพทย์และเภสัช อย่างน่าสนใจ




    ได้แก่สารออกฤทธิ์เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และ เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ตาย แบบอะพอพโตซิส สารที่ยับยั้งความเป็นพิษของสารก่อมะเร็งทางเดินอาหาร สารที่ออกฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของข้อเข่า

    ผลการวิจัยล่าสุดได้พบว่าลำไยแห้งสามารถออกฤทธิ์ทำลายและต่อต้านอนุมูลอิสระ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในเครื่องสำอางปัจจุบัน

    คุณค่าทางอาหารของลำไยกองวิทยาศาสตร์กรมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยได้ทำการวิเคราะห์ส่วนปรักอบของลำไยปรากฏผลว่า

    ๑.ลำไยสดทั่วไปประกอบด้วยน้ำ๘๑.๑%คาร์โบไฮเดรต๑๖.๙๘%โปรตีน๐.๙๗%เถ้า๐.๕๖%กาก๐.๒๘%และไขมัน ๐.๑๑%

    ๒.ในลำไย สด๑๐๐กรัมจะมีค่าความร้อน๗๒.๘แคลอรีและมีวิตามิน๖๙.๒มิลลิกรัมแคลเซียม๕๗ มิลลิกรัมฟอสฟอรัส๓๕.๑๗มิลลิกรัมและธาตุเหล็ก๐.๓๕มิลลิกรัม

    ๓.ลำไยแห้งประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ๖๙.๐๖%น้ำ ๒๑.๒๗%โปรตีน ๔.๖๑%เถ้า ๓.๓๓%กาก ๑.๕๐%และไขมัน ๐.๑๗๑%

    ๔.ลำไย แห้ง ๑๐๐กรัมจะมีค่าความร้อน ๒๙๖.๑แคลอรี แคลเซียม ๓๒.๐๕มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๑๕๐.๕มิลลิกรัมโซเดียม ๔.๗๘มิลลิกรัม เหล็ก ๒.๘๕มิลลิกรัม โพแทสเซียม ๑๓๙๐.๓มิลลิกรัม กรดแฟนโทซินิค ๐.๗๒มิลลิกรัมวิตามินบี ๑๒จำนวน ๑.๐๘มิลลิกรัม

    ดูหัวข้อที่เกี่ยวข้อง :
  • ประวัติลำใย

  • พันธุ์ลำไย

  • การปลูกลำไย

  • โรคและการป้องกัน

    พันธุ์ลำไย

    on กันยายน 26, 2553




    พันธุ์
    พันธุ์ดอ :
    เป็นพันธุ์เบา ทำให้ชาวสวนนิยมปลูกมากที่สุด เจริญเติบโตดี ยอดอ่อนมีทั้งยอดสีเขียวและสีแดงลำต้นแข็งแรงเปลือกผลหนา ออกดอกติดผลค่อนข้างสม่ำเสมอ ทรงผลกลมแป้นและเบี้ยวยกบ่าข้างเดียว ผิวผลสีน้ำตาล มีกระหรือตาห่าง เนื้อค่อนข้างเหนียว สีขาวขุ่น เมล็ดใหญ่ ปานกลาง

    พันธุ์สีชมพู :
    เป็นพันธุ์กลางทรงพุ่มสูง โปร่ง กิ่งเปราะหักง่าย ออกดอกง่าย แต่ติดผลไม่สม่ำเสมอ ทรงผลค่อนข้างกลม ผิวสีน้ำตาลอมแดง เนื้อหนาปานกลาง นิ่มและกรอบ สีชมพูเรื่อๆ รสหวานและหอม
     เมล็ดค่อนข้างเล็ก

    พันธุ์แห้ว :
    เป็นพันธุ์หนักเจริญเติบโตดีมากยอดอ่อนมีทั้งสีแดงและสีเขียว ผลขนาดใหญ่ ทรงผลกลมและเบี้ยว ฐานผลบุ๋ม เปลือกสีน้ำตาล และหนา เนื้อหนา กรอบและล่อน รสหวานแหลมและหอม
    เมล็ดค่อนข้างเล็ก

    พันธุ์เบี้ยวเขียว :
    เป็นพันธุ์หนัก เจริญเติบโตดี ทนแล้งได้ดี แต่jอ่อนแอต่อโรคพุ่มไม้กวาด ออกดอกยากและมักเว้นปี สามารถแบ่งเป็นเบี้ยวเขียวก้านแข็งและก้านอ่อน ผลมีขนาดใหญ่ ทรงผลกลมแบนเบี้ยวมาก
    เปลือกสีเขียวอมน้ำตาลและหนาเนื้อหนา กรอบและล่อน รสหวานแหลมและหอม เมล็ดค่อนข้างเล็ก

    พันธุ์เพชรสาคร :
    เป็นพันธุ์ทะวายคือออกดอกมากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี ใบมีขนาดเล็กและเรียวแหลม ผลกลม เปลือกบาง เนื้อสีขาวฉ่ำน้ำ รสหวาน




    ดูหัวข้อที่เกี่ยวข้อง:
  • ประวัติลำใย
  • การปลูกลำไย
  • ประโยชน์ของลำไย
  • โรคและการป้องกัน
  • โรคและการป้องกันกำจัด




    โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

    โรคราน้ำฝนหรือโรคผลเน่า :
    ทำให้ผลเน่าและร่วง สามารถป้องกันกำจัดด้วยสารเมทาเเลกซิล สาเหตุ เชื้อรา ลักษณะอาการ เมื่อเชื้อราเข้าทำลายที่ผลจะทำให้ผลเน่าและร่วง แผลมีสีน้ำตาล เข้าทำลายที่ใบอ่อนยอดอ่อน จะเป็นแผลไหม้สีน้ำตาลดำ ขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน
    เชื้อราสร้างเส้นใยและสปอร์สีขาวฟูบนแผลที่ผล ช่วงเวลาระบาดฤดูฝนช่วงที่มีฝนตกชุก
    การป้องกันกำจัด
    - ปลูกลำไยให้มีระยะห่างที่พอเหมาะ ไม่ปลูกชิดเกินไป
    - ตัดแต่งกิ่งภายในทรงพุ่มให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น และกำจัดวัชพืชภายใต้ทรงพุ่ม
    - บำรุงรักษาต้นลำไยให้เจริญเติบโตแข็งแรง โดยการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ ในช่วงที่อากาศแห้งแล้งและพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชและสารฆ่าแมลงอย่างสม่ำ เสมอ
    - เก็บผล และใบลำไยที่เป็นโรคซึ่งร่วงหล่นบนพื้นดินภายใต้ทรงพุ่ม เผาทำลายนอกแปลงปลูก ควบคุมโรคโดยชีววิธี ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือเชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์บาซิลลัส ผสมน้ำพ่น ให้ทั่วทั้งต้นพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ตามคำแนะนำ การใช้สารป้องกันกำจัด ใช้เมตาแลกซิล+แมนโคเซบ(72%WP) อัตราการใช้ 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นผิวดินบริเวณโคนต้นลำไย หยุดการใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 14 วัน

    โรครากและโคนเน่า :
    ต้นเหลืองทรุดโทรม รากและโคนต้นเน่า ยืนต้นแห้งตายอย่างรวดเร็ว การป้องกันกำจัดโดยใช้ สารไซม๊อกซานิล+แมนโคเซบ (72% WP)
    สาเหตุ เชื้อรา
    ลักษณะอาการ ต้นเหลืองทรุดโทรม รากและโคนต้นเน่า มีสีน้ำตาลปนม่วงและมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวต้นลำไยที่เป็นโรคจะยืนต้นแห้ง ตายอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่ระบาด ฤดูฝนที่มีฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน การป้องกันกำจัด - ปฏิบัติเหมือนการป้องกันกำจัดโรคราน้ำฝนหรือโรคผลเน่า
    - หลีกเลี่ยงการขุดดินภายใต้ทรงพุ่มซึ่งจะทำให้รากขาด
    - หมั่นตรวจแปลงโดยสม่ำเสมอ และกำจัดต้นที่เป็นโรคทันทีโดยขุดแล้วเผาทำลาย
    - ควบคุมโรคโดยชีววิธี โดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือเชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์บาซิลลัส ผสมคลุกเคล้ากับดินในทรงพุ่ม และผสมน้ำพ่นให้ทั่วต้นที่เป็นโรคและต้นข้างเคียง
    - พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ตามคำแนะนำ
    การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช ไซม๊อกซานิล+แมนโคเซบ(72%WP) 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นผิวดินบริเวณโคนต้นลำไย หยุดการใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 14 วัน

    โรคผลเน่าสีน้ำตาล :
    ผลเน่าแล้วร่วง แผลสีน้ำตาล ขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน ป้องกันกำจัดโดยใช้จุนสี+โซดาซักผ้า สาเหตุ เชื้อรา ลักษณะอาการ ผลเน่าแล้วร่วง แผลสีน้ำตาล ขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน ไม่พบเส้นใยและสปอร์ของเชื้อบนแผล ช่วงเวลาระบาด ฤดูฝนช่วงที่มีฝนตกชุก การป้องกันกำจัด - ปฏิบัติเหมือนการป้องกันกำจัดโรคผลเน่าและใบไหม้ - พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชตามคำแนะนำ
    การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช จุนสี+โซดาซักผ้า 0.4-0.6%+0.2% ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นผิวดินบริเวณโคนต้นลำไย

    โรคพุ่มไม้กวาด:




    เกิดอาการแตกยอดฝอยและทำให้ต้นทรุดโทรม ป้องกันกำจัดโดยการตัดแต่งกิ่งเป็นโรคเผาทำลาย พ่นด้วยกำมะถันผงหรืออามีทราซ ควรเลือกกิ่งพันธุ์ที่ไม่เป็นโรคนี้ สาเหตุ เชื้อไฟโตพลาสมา ลักษณะอาการ ส่วนที่เป็นตาเกิดอาการแตกยอดฝอย เป็นมัดไม้กวาด หากเป็นรุนแรงทำให้ต้นลำไยทรุดโทรม ช่วงเวลาระบาด เดือนกุมภาพันธุ์-พฤษภาคม โดยมีไรลำไยเป็นพาหะนำโรค
    การป้องกันกำจัด
    - ขยายพันธุ์ปลูกจากต้นแม่พันธุ์ที่ปลอดโรค
    - ตัดกิ่งเป็นโรคออกเผาทำลาย
    - พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ตามคำแนะนำ
    - พ่นสารป้องกันกำจัดไร ซึ่งเป็นพาหะของโรค ตามคำแนะนำในการป้องกันกำจัดไร
    การใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช
    ใช้กำมะถันผง (80% WP) 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

    แมลงศัตรูที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

    ผีเสื้อมวนหวาน :
    ทำลายผลในช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคม ป้องกันกำจัดด้วยการห่อผลด้วยกระดาษ ใช้เหยื่อพิษชุบสารคาร์บาริล หรือใช้แสงไฟล่อผีเสื้อ ลักษณะและการทำลาย เป็นผีเสื้อกลางคืน ขนาดปีกกว้าง 3-5 ซม. ปีกคู่หน้าสีน้ำตาล คู่หลังสีเหลืองทอง มีลายรูปไต ตาสีแดงสะท้อนแสงไฟ ผีเสื้อเจาะกินน้ำหวานจากผล ทำให้มีน้ำ ไหลเยิ้มออกจากรูที่ถูกเจาะ และเชื้อโรคเข้าทำลายซ้ำ ช่วงเวลาระบาด ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว เดือนกรกฎาคม - สิงหาคม
    การป้องกันกำจัด
    - ห่อช่อดอกด้วยกระดาษเพื่อป้องกันการเข้าทำลาย
    - กำจัดวัชพืชซึ่งเป็นพืชอาหารของหนอน เช่น ย่านาง ต้นข้าวสาร และบอระเพ็ด
    - ใช้ไฟส่อง จับผีเสื้อทำลายโดยใช้สวิงโฉบช่วงเวลา 20.00-22.00 น.)
    - ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว ใช้เหยื่อพิษ โดยใช้สับปะรดสุก ตัดเป็นชิ้นจุ่มในสารป้องกันศัตรูพืชตามคำแนะนำ
    การใช้สารป้องกันกำจัดแมลง
    คาร์บาริล (85% ดับบลิวพี) 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ใช้สับปะรดสุกตัดเป็นชิ้นจุ่มนาน 1 นาที ไปแขวนในสวน หยุดการใช้สารก่อนเก็บเกี่ยว 7 วัน

    ดูหัวข้อที่เกี่ยวข้อง:
  • ประวัติลำใย

  • พันธุ์ลำไย

  • การปลูกลำไย

  • ประโยชน์ของลำไย

  • โรคและการป้องกัน
  • ขั้นตอนปลูกลำใย

    on กันยายน 25, 2553



    การปลูกลำไย

    ลำไย เป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศชนิดหนึ่ง ลำไยเป็นที่นิยมบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะมีรสชาติหวาน อร่อย นอกจากนี้ ลำไยยังเป็นที่ต้องการของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อนำไปทำลำไยกระป๋องและลำไยอบแห้ง ลำไยจึงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เพราะต้นลำไยจะให้ผลผลิตดีในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ดังนั้น การปลูกลำไยจึงยังเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่สนใจ

    ขั้นตอนการปลูกลำไย
    วิธีการปลูกลำไย
    การเตรียมพื้นที่
    ควรเตรียมต้นพันธุ์ดีไว้ล่วงหน้า 1 ปี เตรียมหลุมปลูก ขนาด 80x80x80 ซม.ใช้ระยะปลูก 8x10 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 3-5 กก./หลุม พูนดินสูงจากปากหลุม 15 ซม. เลือกแหล่งปลูกที่ระบายน้ำได้ดี ระดับน้ำใต้ดินควรมีความลึกกว่า 2 เมตร ลักษณะดิน ควรเลือกดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง และควรมี ความเป็นกรดด่าง 5.5-6.5 ระยะห่างระหว่างต้นมีขนาด 8 x 10 เมตร

    วิธีปลูก :
    นำกิ่งพันธุ์ที่ขยายพันธุ์ด้วยการตอน วางต้นพันธุ์ลงในหลุมที่เราเตรียมไว้แล้วกลบโคนให้แน่น ทำหลักป้องกันโยกคลอน รดน้ำให้ชุ่ม พรางแสงช่วงแรก และทำการกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นไม้ให้สะอาด รวมทั้งเก็บกวาดใบแห้งและเศษวัชพืชออกไปจากบริเวณโคนต้น หลังจากนั้น จึงรดน้ำให้ชุ่มบริเวณรอบต้นลำไย

    ผลไม้มงคล




    ผลไม้มงคลของไทยมี 5 อย่าง ได้แก่

    1.

    ลำไย เป็นผลไม้ที่ส่งออกที่สำคัญสร้างรายได้เข้าประเทศแล้วยังเป็นผลไม้มงคล และซึ่งคนจีนบางกลุ่มนำไปใช้ร่วมกับพิธีการสูง เพราะเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ ของความรัก ความหวานชื่น สำหรับหนุ่มสาวใน
    งาน พิธีมงคลนั้นๆ ลำไยภาษาจีนแปลว่า ดวงตามังกร ซึ่ง มังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้เมืองจีน ดังนั้นหมายถึง ความเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้นำปวงชน และ เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือ ฉะนั้น ลำไยคือผลไม้มงคลที่เชื่อว่า เป็นตัวแทนแห่งความรัก ความเป็นผู้นำ และความมีอำนาจวาสนา


    2. ลิ้นจี่ เป็น ผลไม้ชั้นสูงของคนจีนมาเป็นเวลานานแล้ว มีเรื่องเล่ากันว่า ฮ่องเต้ของเมืองจีนในสมัยหนึ่ง ต้องให้ทหารผู้ที่ดูแลพระองค์จัดหาลิ้นจี่น ผิวสวยสีแดงสด เพื่อนำไปถวายพระมารดา และพระมเหสีของ พระองค์เป็นประจำ จึงเกิดการแพร่หลายไปในขุนนางชั้นสูงต่อกัน จนเป็นที่รู้กันทั่วไป เพราะผลที่มี สีแดงของลิ้นจี่นี่เอง ทำให้เป็นที่นิยมนำลิ้นจี่ไปใช้ในงานมงคล ฉะนั้น ลิ้นจี่คือผลไม้ที่มีสีแดงสด ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคง

    3. สับปะรด นอกจากบรรจุกระป๋องส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศแล้ว สับปะรด เป็นผลไม้มงคล ที่คนนิยมนำไปไหว้ในพิธีการต่างๆ เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดความรอบคอบ รอบรู้ในสิ่งต่างๆ ดูแลกิจการงานได้ทั่วถึง สาย ตากว้าง ไกล ประดุจดั่งสับปัรดที่มีดวงตารอบตัว ฉะนั้น สับปะรดคือผลไม้แห่งความมงคลที่เชื่อถือว่า เป็นตัวแทนแห่งความรอบคอบ รอบรู้ สายตากว้างไกล

    4. กล้วย เป็นผลไม้ส่งออกอีกชนิดหนึงที่สำคัญ กล้วยยังเป็นผลไม้มงคลแห่งการแตกหน่อ แตกสาขา ซึ่งในธรรมชาติของต้นกล้วยนั้น      สามารถแตกหน่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีวันจบ กล้วยยังเป็นผล
    ไม้ แห่งการเชื่อถือในด้านการ มีบริวารมากมาย เฉกเช่นเดียวกับกล้วย 1 เครือที่มีลูกเป็นจำนวนมาก บางคนนิยมรับประทานกล้วยที่มีผลแฝดคู่กัน เพื่อจะ ได้มีลูกที่คลอดออกมาเป็นลูกแฝด ฉะนั้น กล้วยคือผลไม้มงคล ที่เชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งการขยายสาขา กิจการ การมีบุตรสืบสกุล มีบริวารมาก
    5. ทุเรียน เป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งแล้ว ทุเรียนผลไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในตัวเองมาก มีเนื้อในที่สวยงาม สีเหลืองดั่งทองคำ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติ จึงได้สร้างเกราะ คุ้มกันเนื้อในสีทอง โดยการสร้างหนามแหลมคมรอบตัว เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ มารบกวน ฉะนั้น ทุเรียนจึงเป็นผลไม้มงคลที่ชื่อว่า เป็นตัวแทนของ ความฉลาดหลักแหลม เข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้

    ส่วนผลไม้มงคลของจีนคือ
    1. สาลี่ หมายถึง การรักษาคุณงามความดีเอาไว้อย่างมั่นคง หรือรักษาซึ่งโชคลาภเงินทองมิให้เสื่อมถอย ฯลฯ
    2. องุ่น หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหน้าที่การงานและชีวิต...
    3. แอปเปิ้ล หมายถึง การมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์

    4. ส้ม หมายถึง ความมีโชคดี ประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว ฯลฯ
    5. พลับ หมายถึง จิตใจที่หนักแน่น (อยู่ในธรรม) อย่างมั่นคง สามารถล่วงพ้นอุปสรรคนานาได้
    อย่างราบรื่น, มีความขยันมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง ฯลฯ
    6. ทับทิม คนจีนเรียกว่า "เจี๊ยะลิ้ว" กิ่งใบทับทิมเป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้พรมน้ำ และมีไว้ติดตัวเพื่อ
    คุ้มครองกันภัย ภูตผีปีศาจ เป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองจีน... ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ด
    มาก จึงสื่อความหมายถึงการให้มีลูกชายมากๆ
    7. ผลท้อ เป็นเครื่องหมายแห่งความยั่งยืน เป็นผลไม้ชั้นสูง สำหรับบูชาเทพบนสวรรค์
    8. เกาลัดและพุทรา ในงานแต่งงาน มีความหมายว่า ขอให้มีบุตรที่ดี สุภาพ มีมารยาทดีในเร็ววัน
    อื่นๆ
    มะยม ช่วยทำให้มีคนนิยมชมชอบ
    มะขาม ช่วยทำให้มีแต่ผู้คนเกรงขาม
    ส้มโอ ปลูกเพื่อความอุดมสมบูรณ์
    ทับทิม เพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นของชีวิต
    ขนุน เพื่อหนุนบุญบารมี เงินทอง และให้มีคนเกื้อหนุนจุนเจือ


    ที่มา:https://sites.google.com/site/phlminaru/phl-mi-mngkhl

    มะม่วง

    on กันยายน 24, 2553

    image
    พันธุ์มะม่วง
    มะม่วงมีมากมายหลายสิบพันธุ์ อาจแบ่งเป็นพวกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ
    (1) มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น พิมเสนมัน แรด เขียวเสวย มันหนองแซง ฟ้าลั่น เป็นต้น
    (2) มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน ทองดำ เป็นต้น
    (3) มะม่วงที่ปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้
          - มะม่วงสำหรับดอง เช่น มะม่วงแก้ว เป็นต้น
          - มะม่วงสำหรับบรรจุกระป๋อง เช่น ทำน้ำคั้น มะม่วงแช่อิ่ม เช่น มะม่วงสามปี เป็นต้น

    สำหรับมะม่วงพันธุ์ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ได้แก่  น้ำดอกไม้สีทอง  มหาชนก ทองดำ และมะม่วงแก้ว ซึ่งตลาดต่างประเทศที่ประเทศไทยส่งไปจำหน่ายมากได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย
    การขยายพันธุ์
    การขยายพันธุ์มะม่วงสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การตอน การติดตา และการทาบกิ่ง เป็นต้น
    1. การเพาะเมล็ด
    โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
    1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
    1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็นต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี 
    1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก


    เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
    1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้
    การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน
    หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก
    image
    2. การทาบกิ่ง 
    เป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะการเพาะเมล็ดจะทำให้มีการกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับมะม่วง การทาบกิ่งต้นที่ได้จะตรงตามพันธุ์เดิม และยังมีรากแก้วที่แข็งแรงเช่นเดียวกับการปลูกด้วยเมล็ด ต้นที่ได้ก็ตกผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด วิธีทาบกิ่งต้องเตรียมต้นตอเพื่อนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีที่ต้องการ
    2.1 การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่จะนำมาทาบกิ่งก็คือ ต้นกล้ามะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดดังที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่ง ต่างกับผลไม้ชนิดอื่น คือ การที่จะทำให้เมล็ดมะม่วงงอกเร็วขึ้นต้องแกะเอาเปลือกซึ่งหุ้มเมล็ดออก แล้วจึงเอาเมล็ดที่อยู่ภายในมาเพาะ อายุของต้นกล้าที่จะใช้เป็นต้นตอควรมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป หรือลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (สำหรับต้นกล้าที่งามๆ อายุเพียง 3 สัปดาห์ก็โตพอที่จะใช้เป็นต้นตอได้) และใบชุดแรกเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่แล้ว เมื่อต้องการจะทาบกิ่ง ก็ขุดแยกต้นตอออกจากกระบะเพาะ นำไปชำในถุงพลาสติกที่มีขนาดปากถุงกว้าง 4-5 นิ้ว ใส่ขุยมะพร้าวที่แช่น้ำเตรียมไว้ลงไปให้เต็มถุง ผูกปากถุงอย่าให้แน่นมาก ก็พร้อมที่จะนำไปทาบกิ่งได้
    2.2 การเลือกกิ่งพันธุ์ กิ่งของต้นพันธุ์ดีที่ต้องการจะทาบนั้น ให้เลือกกิ่งที่มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดของต้นตอ จะใหญ่กว่าสักเล็กน้อยก็ได้ แต่อย่าให้ไหญ่กว่ามากนัก (ถ้าใหญ่กว่ามากให้ใช้ต้นตอหลายต้น) กิ่งพันธุ์ควรเป็นกิ่งที่กำลังเจริญเติบโต ไม่แคระแกรน กิ่งมีลักษณะกลม ไม่เป็นเหลี่ยม กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่กว่าต้นตอมากนัก และไม่มีโรคแมลงรบกวน ถ้าได้กิ่งที่ตั้งตรงจะดีมาก เพราะสะดวกในการทำงาน ส่วนกิ่งที่เอนก็ใช้ได้ แต่กิ่งที่ห้อยย้อยลงล่างไม่ควรใช้ทาบกิ่ง ถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้ผูกกิ่งให้ตั้งตรงเสียก่อน
    2.3 ฤดูกาล ฤดูที่เหมาะที่สุดคือฤดูฝน เพราะต้นไม้กำลังเจริญเติบโต จะทำให้กิ่งติดกันได้ดีและเร็วกว่า แต่ถ้าทั้งต้นตอและยอดพันธุ์มีความสมบูรณ์จะทาบกิ่งตอนไหนก็ได้
    2.4 วิธีการทาบกิ่ง ใช้มีดที่สะอาดและคมเฉือนต้นตอออกประมาณ 1 ใน 3 ของต้นตอ โดยเฉือนขึ้นไปหายอดของลำต้น เฉือนให้ห่างจากปากถุงพลาสติกราว 2-3 นิ้ว ยอดของต้นตอจะถูกตัดขาดออกไป แล้วใช้มีดบากให้เป็นปากฉลาม ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว
    ใช้มีดคมๆ เฉือนที่กิ่งพันธุ์ ลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยเฉือนยาวประมาณ 2 นิ้ว ไห้มีขนาดและลักษณะเช่นเดียวกับรอยเฉือนของต้นตอ นำรอยเฉือนทั้งสองมาประกบกันให้แนบสนิท โดยให้ปากฉลามสอดเข้าไปในรอยเฉือนพอดีกับกิ่งพันธุ์ดี ให้เปลือกของทั้งสองสัมผัสกันให้มากที่สุด แล้วใช้ผ้าพลาสติกขนาดกว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 12 นิ้ว พันและรัดรอยต่อทั้งสองให้แนบสนิท เพี่อกันน้ำซึมเข้าไปในรอยทาบ โดยพันจากล่างขื้นบน เสร็จแล้วใช้เชือกผูกถุงที่หุ้มโคนต้นตอให้ติดกับกิ่งพันธุ์ เพื่อไม่ให้ต้นตอแก่วง เมื่อทาบกิ่งครบ 30 วัน ให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดี ลึกประมาณครึ่งกิ่ง ในระหว่างนี้ให้คอยดูความชื้นในถุงด้วย ถ้าเห็นว่าขุยมะพร้าวในถุงแห้งเกินไปให้รดน้ำ หลังจากนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 45-60 วัน รอยทาบของกิ่งจะประสานกันสนิท ก็ตัดกิ่งพันธุ์ดีตรงใต้รอยทาบประมาณ 1 นิ้ว เพื่อนำไปชำ แล้วปลูกต่อไป
     
    การทาบกิ่งมะม่วง
    2.5 การชำต้นทาบกิ่ง เมื่อตัดต้นทาบกิ่งออกมาแล้ว ให้แกะเอาถุงพลาสติกที่หุ้มโคนอยู่ออก เอาไปชำในน้ำสักพักหนื่งก่อน แล้วจึงนำไปชำในดิน ต้นที่เห็นว่าขุยมะพร้าวแห้งมาก อาจชำไว้ในน้ำก่อนสัก 1-3 วัน จึงนำไปชำในดิน การชำน้ำทำได้ดังนี้ คือ นำต้นทาบกิ่งวางในกระป๋องหรือกาละมัง เติมน้ำลงไป สูงประมาณ 1 ใน 3 ของกระเปาะที่หุ้มรากอยู่ อย่าใส่น้ำจนท่วมกระเปาะ 
    เมื่อชำน้ำเสร็จแล้วจึงนำไปชำในดิน ภาชนะที่สามารถใช้ชำได้แก่ กระถาง หรือถุงพลาสติก เป็นต้น โดยแกะขุยมะพร้าวออกบ้าง แล้วใส่ดินลงไป กดดินรอบๆ โคนต้นให้แน่นพอประมาณ แล้วปล่อยให้ต้นทาบกิ่งนี้เจริญต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน ต้นก็จะตั้งตัวแข็งแรง นำไปปลูกหรือจำหน่ายได้
    เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทาบกิ่งมะม่วง
    เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ฤดูฝน เพราะเป็นระยะที่กิ่งพันธุ์มะม่วงกำลังเติบโต แต่ฤดูอื่นก็ทาบกิ่งได้เช่นกัน แต่ใช้ระยะเวลามากขึ้นกว่ารอยแผลจะเชื่อมติดกัน
    ข้อควรระวัง
    อย่ารีบตัดกิ่งที่รอยทาบยังติดกันไม่ดี หรือตัดมาแล้วนำไปปลูกหรือจำหน่ายเลย
    มะม่วงเป็นพืชที่ปลูกเพื่อรับประทานผล และผลที่ได้นั้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงสามารถปลูก และผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องที่ มะม่วงหลายพันธุ์ยังเป็นผลไม้ที่ตลาดต่างประเทศต้องการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การปลูกมะม่วงแบบเป็นการค้านั้น จะต้องศึกษาถึงสภาพความเหมาะสมต่าง ๆ หลายประการด้วยกัน ผู้ปลูกจะต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย เพื่อให้ประหยัดต้นทุนในการผลิต ตลอดจนสามารถผลิตผลมะม่วงที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดได้ เอกสารนี้ได้ให้ความรู้พื้นฐานกว้าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีบางอย่างที่เป็นประโยชน์ ผู้ที่สนใจจะปลูกมะม่วง สามารถใช้เป็นคู่มือเบื้องต้นในการทำสวนมะม่วงได้เป็นอย่างดี
    ที่มา:http://web.ku.ac.th/agri/mango1/one.htm